by pokepung » Sat 05 Jun 2004 06:16
หลังจากร่อนไปร่อนมาอยู่หลายรอบ(เบื่อเครื่องบิน..) ก็ได้ฤกษ์เดินทางอย่างเป็นทางการจริงๆ (เข้าไปลารัฐมนตรีในธรรมเนียบ) คือวันที่ 1 พฤษภาคม
เรื่องของตัวเองไม่อยากเล่า แต่อยากเล่าเรื่องที่ได้ไปเจอกับ"วงกอไผ่"ที่ออสเตรียก่อน ป่านนี้แล้วคงไม่ต้องมาขยายความกันแล้วว่า"วงกอไผ่"คืออะไรหรือคือใคร
งานที่ได้ไปดูวงกอไผ่แสดงคืองานเพอร์คัชชั่นเฟสติวอลที่ไฟรชตัดท์ (เมืองว่าง?..-ไฟร์ในที่นี้แปลว่าอิสระต่างหาก) ตื๊อผู้จัดการวงที่ดูแลคณะของข้าพเจ้าอยู่ตั้งนานกว่าจะได้ไป เพราะเนื่องจากไปเป็นคณะเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเอง หากนั่งรถไฟเองเกิดจะเข้โซโลอิสหายไปแล้วจะยุ่งไม่ต้องเล่นคอนเสิร์ตกันพอดี
ในที่สุดก็ได้ไปดูกันทั้งคณะดอกเตอร์แซกแชมเบอร์ออเคสตร้า คอนเสิรต์เพร์คัชชั่นเฟสติเวิลที่วงกอไผ่เล่นวันนั้น มีสามวงแสดง ค่าเข้าชม 6 ยูโร ก็ประมาณ 300บาท ราคามาตรฐาน
วงแรกเป็นเพอร์คัชชั่น ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและเด็ก ใช้เสียงไซโลโฟนนำในเพลงแรก(ไซโลโฟนก็คือเป็นเพอร์คัชชั่นค่ะ) คนเล่นเป็นผู้หญิง แต่เท่ห์มาก เท่ห์ตั้งแต่ตอนเคาะไม้ให้สัญญาณวงว่าพร้อมเล่น ชุดหลังๆเป็นเพร์คัชชั่นล้วนๆ ชนิดที่ไม่มีเมโลดี้ กล่องไม้หลายๆใบที่มันไม่ได้เกิดมาเป็นเครื่องดนตรีหรือเครื่องจังหวะ เขาก็นำมาทำให้เข้ากันได้ มันมาก ตอนจะจบมีร้องแรพด้วย จำได้ว่าชอบวงนี้มาก แต่นึกรายละเอียดไม่ค่อยออก เพราะพอวงกอไผ่เล่นก็ลืมวงอื่นหมดแล้วล่ะค่ะ
วงที่สองเป็นวงกาเมลัน(เครื่องดนตรีบาหลี) เล่นโดยคนออสเตรีย เข้าใจว่าเพราะเวทีแคบ เลยต้องจัดวงเป็นกระจุก ทำให้เสียงที่ออกมาดังหึ่งๆชวนง่วงนอน กลายเป็นเครื่องกวนประสาทมากกว่าเครื่องดนตรี ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็ชอบกาเมลันมาแสนนาน (ดนตรีสวรรค์) แต่ครั้งนี้ก็เกือบจะลืมตาไม่ขึ้น(อย่างว่าแต่เราเลย คนออสเตรียยังหลับเป็นแถว) แถมจัดโปรแกรมเสียยาวเหยียบเบียดที่วงกอไผ่
วงที่สามก็คือวงกอไผ่ ถึงจะเล่นเป็นวงสุดท้ายแต่ก็ได้ใจคนดูมากที่สุด สามารถทำให้คนดูรู้สึกว่ามีส่วนร่วม และมีอารมณ์ร่วมไปด้วย แต่โปรแกรมเพลงที่เล่นไปนั้นแค่ครึ่งเดียวของคอนเสิร์ตใหญ่เท่านั้นเอง (คอนเสิร์ตใหญ่เล่นที่เวียนนา ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสตามไปดู แต่ได้ข่าวมาว่า คนดูยืนปรบมือให้ราวสิบนาที) ความสำเร็จแบบนี้ก็สมควรอย่างยิ่งแล้ว กับนักดนตรีฝีมือระดับอาจารย์.... เพลงที่นำไปเล่นก็เข้าใจเลือก มีโยคีถวายไฟ ตับนก(ตับเป็นชื่อประเภทเพลงไทยค่ะ คล้ายๆเป็นเพลงเรื่อง ไม่ใช่ตุ๊กแกกินตับ^^) ตับนกนี้ก็ฟังง่ายมาก ใครฟังก็ว่าเพราะ แถมมีขลุ่ยนกอีก(อุปกรณ์ที่ใช้เล่นเลียนเสียงนกจะมีนกโพระดก นกกาเหว่า นกกางเขน )คนดูชอบมาก เฮกันใหญ่โดยเฉพาะเสียงไก่(อันนี้ใช้ลิ้นปี่-เป็นอวัยวะของปี่ ไม่ใช่อวัยวะของคนนะฮับ- ทำเสียง) นาฏศิลป์ที่นำไปโชว์วันนั้นก็น่าดู เป็นนาฏศิลป์ประยุกต์ที่พี่แอน ศรินประภา ภัทรจินดา เป็นคนทำเอง รำเอง ชุดนี้รำคู่กับพี่ป้ำ รัชวิทย์ เป็นฟ้อนทางเหนือ เกี้ยวกันไปเกี้ยวกันมา แต่ลีลามันชะมัด แล้วก็มีมโนราห์บูชายัญ ซึ่งเพลงที่ประกอบการแสดงชุดนี้เป็นเพลงที่เพราะมาก ช่วงเสียงห่างกันเยอะแบบมีมิติและสอดคล้อง และฟังง่ายอีกด้วย คือเป็นเพลงที่ใครฟังก็ว่าเพราะได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกับหลายเพลงที่ว่าฟังรู้เรื่องกันเฉพาะในหในกดนตรี หรือบางทีนักดนตรีเองยังฟังไม่เพราะเสียด้วยซ้ำ
(หารูปวงกอไผ่ชมได้ในเว็บพันทิพย์ เป็นรูปจากกล้องข้าพเจ้าเองล่ะฮับ ไหงมันเวียนจนไปโผล่ที่เว็บพันทิพย์ได้ก็ไม่รู้แฮะ)
ทีนี้กลับมาเรื่องของข้าพเจ้ามั่ง ข้าพเจ้าพักอยู่ที่เมืองไวน์เบิร์ก(อ่านแบบอังกฤษแล้วกันเนอะ อ่านแบบเยอรมันแล้วมันไม่เพราะอ่ะ) ที่พักเป็นปราสาทเก่าสไตล์เรเนสซองซ์ เป็นสถานที่ที่จัดไว้สำหรับสัมนาดนตรีโดยเฉพาะ สัปดาห์แรกๆข้าพเจ้าหลงอยู่ในปราสาทเสียหลายรอบ หาห้องซ้อมไม่เคยเจอโดยเฉพาะห้องซ้อมเดี่ยว พอเปิดประตูห้องนี้ไป ก็เจออีกห้องหนึ่ง เปิดไปอีกก็เจออีกห้อง แล้วก็เจอบันไดวนลงไป ออกนอกปราสาทไปเลย งงๆ ส่วนห้องซ้อมรวมวงใช้ห้องใหญ่ก็เลยหาไม่ยากเท่าไหร่
ที่ปราสาท ติดใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ ตามผนังจะมีรูปภาพเหมือนของคนที่เคยอยู่ในปราสาทนี้ แต่ก็มีรูปภาพสาวสวยแต่งตัวงามผู้หนึ่งไม่ได้สะดุดตาอะไรเลย มองไปมองมาอยู่หลายวันจนวันหนึ่ง กำลังยืนคุยกับพี่ดับเบิ้ลเบสอยู่ใกล้ๆรูปภาพนั้น ตาข้าพเจ้าก็สำรวจไปทั่ว ปรากฏว่าที่ข้อมือของสาวนางนั้นที่ข้าพเจ้าว่า มีโซ่ตรวนหนาเตอะตีอยู่ และหลังจากเรื่องนี้กระจายไปทั่ววง ก็ไม่ค่อยจะมีใครยอมพิจารณาดูภาพของเธออีก
แต่ที่ช็อคกว่าคือ ตรงใกล้ๆภาพของเธอนั้นเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร เนื่องด้วยท่านพี่ผู้จัดการวง นำการ์ดแผ่นหนึ่งมาให้ บอกว่าถ้าใครจะถ่ายเอกสารให้ใช้การ์ดนี้ แล้วทั้งวงก็ถ่ายเอาสารโน้ตกันสนุกใหญ่เพราะอาจารย์ที่มาสอนไพรเวตเอาโน้ตดีๆมาให้ทั้งนั้น ปรากฏว่าตอนแรกสื่อสารผิด เข้าใจไปว่า คนที่พักอยู่ สามารถใช้การ์ดถ่ายเอกสารฟรีได้ เนื่องจากไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย ค่าถ่ายเอกสารแผ่นละ 7 บาทค่ะ และก็เจ้าการ์ดนี้แหละบันทึกว่าเราถ่ายไปกี่แผ่น คิดไปคิดมา มันถูกว่าไปซื้อโน้นมือหนึ่งเล่มใหม่ไม่กี่สตางค์เอง
พูดถึงเรื่องสื่อสารไม่เข้าใจ ก็ทำให้นึกถึงแม่ครัวชื่อมากาเร็ต คณะเราอยู่กับเธอนานจนสนิทกันกระทั่งเธอตามไปดูคอนเสิร์ตที่แสดงที่ลินซ์ น่ารักมาก... ก็มีอาหารกลางวันมื้อหนึ่ง มีเนื้อชิ้นใหญ่อยู่บนจาน พวกเราก็ถามเธอว่านี่มันเนื้ออะไร มีพี่คนหนึ่งบอกเนื้อแกะเหรอ? เธอก็บอกว่าใช่ แล้วก็ย้ำกัยอีกทีว่าจริงเหรอ แกะเหรอ? เธอก็เซเยส เยส แล้วก็ทำท่าตีปีกพั่บๆแบบไก่ เราก็มองน่ากันว่า ไอ้เจ้าแกะบินได้ของเธอมันก็คือไก่งวงนั่นเองค่ะ....
หมดเวลาอีกแล้ว ไว้เดี๋ยวมาเล่าต่อฮับ
หลังจากร่อนไปร่อนมาอยู่หลายรอบ(เบื่อเครื่องบิน..) ก็ได้ฤกษ์เดินทางอย่างเป็นทางการจริงๆ (เข้าไปลารัฐมนตรีในธรรมเนียบ) คือวันที่ 1 พฤษภาคม
เรื่องของตัวเองไม่อยากเล่า แต่อยากเล่าเรื่องที่ได้ไปเจอกับ"วงกอไผ่"ที่ออสเตรียก่อน ป่านนี้แล้วคงไม่ต้องมาขยายความกันแล้วว่า"วงกอไผ่"คืออะไรหรือคือใคร
งานที่ได้ไปดูวงกอไผ่แสดงคืองานเพอร์คัชชั่นเฟสติวอลที่ไฟรชตัดท์ (เมืองว่าง?..-ไฟร์ในที่นี้แปลว่าอิสระต่างหาก) ตื๊อผู้จัดการวงที่ดูแลคณะของข้าพเจ้าอยู่ตั้งนานกว่าจะได้ไป เพราะเนื่องจากไปเป็นคณะเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเอง หากนั่งรถไฟเองเกิดจะเข้โซโลอิสหายไปแล้วจะยุ่งไม่ต้องเล่นคอนเสิร์ตกันพอดี
ในที่สุดก็ได้ไปดูกันทั้งคณะดอกเตอร์แซกแชมเบอร์ออเคสตร้า คอนเสิรต์เพร์คัชชั่นเฟสติเวิลที่วงกอไผ่เล่นวันนั้น มีสามวงแสดง ค่าเข้าชม 6 ยูโร ก็ประมาณ 300บาท ราคามาตรฐาน
วงแรกเป็นเพอร์คัชชั่น ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและเด็ก ใช้เสียงไซโลโฟนนำในเพลงแรก(ไซโลโฟนก็คือเป็นเพอร์คัชชั่นค่ะ) คนเล่นเป็นผู้หญิง แต่เท่ห์มาก เท่ห์ตั้งแต่ตอนเคาะไม้ให้สัญญาณวงว่าพร้อมเล่น ชุดหลังๆเป็นเพร์คัชชั่นล้วนๆ ชนิดที่ไม่มีเมโลดี้ กล่องไม้หลายๆใบที่มันไม่ได้เกิดมาเป็นเครื่องดนตรีหรือเครื่องจังหวะ เขาก็นำมาทำให้เข้ากันได้ มันมาก ตอนจะจบมีร้องแรพด้วย จำได้ว่าชอบวงนี้มาก แต่นึกรายละเอียดไม่ค่อยออก เพราะพอวงกอไผ่เล่นก็ลืมวงอื่นหมดแล้วล่ะค่ะ
วงที่สองเป็นวงกาเมลัน(เครื่องดนตรีบาหลี) เล่นโดยคนออสเตรีย เข้าใจว่าเพราะเวทีแคบ เลยต้องจัดวงเป็นกระจุก ทำให้เสียงที่ออกมาดังหึ่งๆชวนง่วงนอน กลายเป็นเครื่องกวนประสาทมากกว่าเครื่องดนตรี ทั้งๆที่ข้าพเจ้าก็ชอบกาเมลันมาแสนนาน (ดนตรีสวรรค์) แต่ครั้งนี้ก็เกือบจะลืมตาไม่ขึ้น(อย่างว่าแต่เราเลย คนออสเตรียยังหลับเป็นแถว) แถมจัดโปรแกรมเสียยาวเหยียบเบียดที่วงกอไผ่
วงที่สามก็คือวงกอไผ่ ถึงจะเล่นเป็นวงสุดท้ายแต่ก็ได้ใจคนดูมากที่สุด สามารถทำให้คนดูรู้สึกว่ามีส่วนร่วม และมีอารมณ์ร่วมไปด้วย แต่โปรแกรมเพลงที่เล่นไปนั้นแค่ครึ่งเดียวของคอนเสิร์ตใหญ่เท่านั้นเอง (คอนเสิร์ตใหญ่เล่นที่เวียนนา ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสตามไปดู แต่ได้ข่าวมาว่า คนดูยืนปรบมือให้ราวสิบนาที) ความสำเร็จแบบนี้ก็สมควรอย่างยิ่งแล้ว กับนักดนตรีฝีมือระดับอาจารย์.... เพลงที่นำไปเล่นก็เข้าใจเลือก มีโยคีถวายไฟ ตับนก(ตับเป็นชื่อประเภทเพลงไทยค่ะ คล้ายๆเป็นเพลงเรื่อง ไม่ใช่ตุ๊กแกกินตับ^^) ตับนกนี้ก็ฟังง่ายมาก ใครฟังก็ว่าเพราะ แถมมีขลุ่ยนกอีก(อุปกรณ์ที่ใช้เล่นเลียนเสียงนกจะมีนกโพระดก นกกาเหว่า นกกางเขน )คนดูชอบมาก เฮกันใหญ่โดยเฉพาะเสียงไก่(อันนี้ใช้ลิ้นปี่-เป็นอวัยวะของปี่ ไม่ใช่อวัยวะของคนนะฮับ- ทำเสียง) นาฏศิลป์ที่นำไปโชว์วันนั้นก็น่าดู เป็นนาฏศิลป์ประยุกต์ที่พี่แอน ศรินประภา ภัทรจินดา เป็นคนทำเอง รำเอง ชุดนี้รำคู่กับพี่ป้ำ รัชวิทย์ เป็นฟ้อนทางเหนือ เกี้ยวกันไปเกี้ยวกันมา แต่ลีลามันชะมัด แล้วก็มีมโนราห์บูชายัญ ซึ่งเพลงที่ประกอบการแสดงชุดนี้เป็นเพลงที่เพราะมาก ช่วงเสียงห่างกันเยอะแบบมีมิติและสอดคล้อง และฟังง่ายอีกด้วย คือเป็นเพลงที่ใครฟังก็ว่าเพราะได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกับหลายเพลงที่ว่าฟังรู้เรื่องกันเฉพาะในหในกดนตรี หรือบางทีนักดนตรีเองยังฟังไม่เพราะเสียด้วยซ้ำ
(หารูปวงกอไผ่ชมได้ในเว็บพันทิพย์ เป็นรูปจากกล้องข้าพเจ้าเองล่ะฮับ ไหงมันเวียนจนไปโผล่ที่เว็บพันทิพย์ได้ก็ไม่รู้แฮะ)
ทีนี้กลับมาเรื่องของข้าพเจ้ามั่ง ข้าพเจ้าพักอยู่ที่เมืองไวน์เบิร์ก(อ่านแบบอังกฤษแล้วกันเนอะ อ่านแบบเยอรมันแล้วมันไม่เพราะอ่ะ) ที่พักเป็นปราสาทเก่าสไตล์เรเนสซองซ์ เป็นสถานที่ที่จัดไว้สำหรับสัมนาดนตรีโดยเฉพาะ สัปดาห์แรกๆข้าพเจ้าหลงอยู่ในปราสาทเสียหลายรอบ หาห้องซ้อมไม่เคยเจอโดยเฉพาะห้องซ้อมเดี่ยว พอเปิดประตูห้องนี้ไป ก็เจออีกห้องหนึ่ง เปิดไปอีกก็เจออีกห้อง แล้วก็เจอบันไดวนลงไป ออกนอกปราสาทไปเลย งงๆ ส่วนห้องซ้อมรวมวงใช้ห้องใหญ่ก็เลยหาไม่ยากเท่าไหร่
ที่ปราสาท ติดใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ ตามผนังจะมีรูปภาพเหมือนของคนที่เคยอยู่ในปราสาทนี้ แต่ก็มีรูปภาพสาวสวยแต่งตัวงามผู้หนึ่งไม่ได้สะดุดตาอะไรเลย มองไปมองมาอยู่หลายวันจนวันหนึ่ง กำลังยืนคุยกับพี่ดับเบิ้ลเบสอยู่ใกล้ๆรูปภาพนั้น ตาข้าพเจ้าก็สำรวจไปทั่ว ปรากฏว่าที่ข้อมือของสาวนางนั้นที่ข้าพเจ้าว่า มีโซ่ตรวนหนาเตอะตีอยู่ และหลังจากเรื่องนี้กระจายไปทั่ววง ก็ไม่ค่อยจะมีใครยอมพิจารณาดูภาพของเธออีก
แต่ที่ช็อคกว่าคือ ตรงใกล้ๆภาพของเธอนั้นเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร เนื่องด้วยท่านพี่ผู้จัดการวง นำการ์ดแผ่นหนึ่งมาให้ บอกว่าถ้าใครจะถ่ายเอกสารให้ใช้การ์ดนี้ แล้วทั้งวงก็ถ่ายเอาสารโน้ตกันสนุกใหญ่เพราะอาจารย์ที่มาสอนไพรเวตเอาโน้ตดีๆมาให้ทั้งนั้น ปรากฏว่าตอนแรกสื่อสารผิด เข้าใจไปว่า คนที่พักอยู่ สามารถใช้การ์ดถ่ายเอกสารฟรีได้ เนื่องจากไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย ค่าถ่ายเอกสาร[b]แผ่นละ 7 บาท[/b]ค่ะ และก็เจ้าการ์ดนี้แหละบันทึกว่าเราถ่ายไปกี่แผ่น คิดไปคิดมา มันถูกว่าไปซื้อโน้นมือหนึ่งเล่มใหม่ไม่กี่สตางค์เอง
พูดถึงเรื่องสื่อสารไม่เข้าใจ ก็ทำให้นึกถึงแม่ครัวชื่อมากาเร็ต คณะเราอยู่กับเธอนานจนสนิทกันกระทั่งเธอตามไปดูคอนเสิร์ตที่แสดงที่ลินซ์ น่ารักมาก... ก็มีอาหารกลางวันมื้อหนึ่ง มีเนื้อชิ้นใหญ่อยู่บนจาน พวกเราก็ถามเธอว่านี่มันเนื้ออะไร มีพี่คนหนึ่งบอกเนื้อแกะเหรอ? เธอก็บอกว่าใช่ แล้วก็ย้ำกัยอีกทีว่าจริงเหรอ แกะเหรอ? เธอก็เซเยส เยส แล้วก็ทำท่าตีปีกพั่บๆแบบไก่ เราก็มองน่ากันว่า ไอ้เจ้าแกะบินได้ของเธอมันก็คือไก่งวงนั่นเองค่ะ....
หมดเวลาอีกแล้ว ไว้เดี๋ยวมาเล่าต่อฮับ
"Don't let your heart be troble. Believe in God. Believe in you." Holy Bible