Jedi Quest Special Edition : PATH TO TRUTH
Chapter 1 : หกปีต่อมา
โอบีวัน เคโนบีชายตามองผ่านช่องหน้าต่างของยานเพรียวลำเล็ก ยานที่ยืมมาจากวุฒิสภา เมฆหมอกโอบล้อมอยู่ทั้งรอบ ๆ และเบื้องล่าง เขามองไม่เห็นจุดที่จะนำยานลงจอดได้เลย
"เห็นอะไรบ้างไหมครับ?" อนาคินถาม ด้วยทัศนวิสัยที่เป็นศูนย์แบบนี้พาดาวันของเขาจำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่วยในการขับยาน เครื่องมือนั่นกับความเชื่อมโยงหนักแน่นที่อนาคินมีต่อพลัง ด้วยอายุเพียงสิบสามปีแต่อนาคินก็เป็นนักบินที่เชี่ยวชาญมากคนหนึ่ง อาจจะเก่งกว่าตัวโอบีวันเองเสียด้วยซ้ำ โอบีวันเองจะเป็นคนแรกเลยที่ยอมรับความจริงนั่น
"ยังไม่เห็น แต่อีกเดี๋ยวหมอกคงจางลงแล้ว" อย่างน้อยเขาก็หวังไว้อย่างนั้น เขารู้ว่ายอดแหลมของภูเขาน้ำแข็งอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง แต่พวกเขาเพียงแต่ต้องหาที่ลงจอดยานให้ได้เท่านั้นเอง
"แล้วถึงตอนนั้นท่านจะบอกข้าได้หรือยังว่าเรามาที่นี่กันทำไม?" อนาคินถาม
"ไว้ถึงเวลาที่ควรก่อนก็แล้วกัน" โอบีวันสังเกตเห็นว่าหมอกเริ่มจางลง ร่องรอยของสีเทาอ่อนพาดเป็นทางให้เห็นบนเมฆทึบ แต่ในขณะที่ยานร่อนต่ำลงนั่นเองที่ยอดน้ำแข็งแหลมปรากฏขึ้น แทงทะลุออกมาจากหมู่เมฆ สะท้อนแสงสีเงินยวงตัดกับทะเลหมอกสีเทา
โอบีวันดูพิกัดของจุดหมายอีกครั้งก่อนที่จะมองหาเชิงผาที่พอจะเป็นที่จอดยานได้ รอบตัวเขาเห็นแต่สีขาวโพลนละลานตาของน้ำแข็งและหิมะ เขารู้ว่าไหล่เขาที่ดูเหมือนจะเรียบโค้งนั้นมีขอบผาและถ้ำซ่อนอยู่มากมาย เพียงแต่น้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่จะลวงตาให้เห็นผิดไปได้เท่านั้น
ในที่สุดเขาก็เห็นเชิงผาจุดหนึ่งที่ลมแรงจะเข้าไปไม่ถึง ไม่มีหิมะตกบนนั้นมากนัก มีแต่ลานน้ำแข็งโดด ๆ มันคงแทบจะไม่พอกับขนาดของยาน และก็ยังมีอันตรายจากการที่ยานอาจจะลื่นจากน้ำแข็งตกลงไปจากเชิงผาได้ แต่เขาก็รู้ว่าพาดาวันของเขาสามารถขับยานจอดที่นั่นได้
"ตรงนั้น" เขาบอกอนาคินพลางบอกพิกัด
เด็กชายหันหน้ามามองเขาด้วยท่าทางประหลาดใจ "เอาจริงเหรอครับ?"
"เจ้าทำได้น่า"
"ข้ารู้ว่าข้าทำได้" อนาคินพูด "ข้าแค่สงสัยว่าทำไมท่านถึงอยากให้ข้าจอดตรงนั้น"
"เพราะว่าจากตรงนั้นมันจะปีนไปที่จุดหมายของเราได้ง่ายกว่า"
อนาคินปรับสวิตช์สองสามอันในการเตรียมการร่อนลงจอด "และข้าก็รู้ดีกว่าที่จะถามว่าจุดหมายนั้นคืออะไร"
โอบีวันนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้พลางมองอย่างชื่นชมในขณะที่พาดาวันของเขาขับยานเข้าไปในที่คับแคบนั้นด้วยมือที่แสนเที่ยงและอารมณ์ที่แสนเย็น เขานำยานแตะพื้นอย่างนุ่มนวลเสียราวกับว่าเขากำลังนำยานลงจอดในรังของไข่ครอยยีก็ไม่ปาน เหลือที่ไว้เพียงแต่พอให้เปิดยานและตะกายออกไปได้เท่านั้น
อนาคินมองออกนอกหน้าต่างไปยังผาน้ำแข็งที่ล้อมรอบอยู่ทุกด้าน "อย่างน้อยก็บอกข้าหน่อยได้ไหมครับว่านี่เราอยู่ที่ดาวอะไรกัน?"
"ไอลัม" โอบีวันตอบพลางสังเกตสีหน้าของพาดาวัน
ชื่อนั้นทำให้ใบหน้าของอนาคินแสดงออกว่าเขารู้จักดาวดวงนี้ ดวงตาสดใสคู่นั้นเปล่งประกาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรักษาน้ำเสียงให้เรียบเสมอกันได้เป็นอย่างดี "อ้อ"
"เราไม่ได้มาทำภารกิจอะไรหรอก" โอบีวันพูดต่อ "เป็นการเดินทางค้นหามากกว่า ที่นี่เจ้าจะต้องรวบรวมคริสตัลมาสร้างไลท์เซเบอร์ของตัวเอง"
สีหน้าที่ดูเหมือนจะสุขุมของอนาคินพรายไปด้วยยิ้มที่โอบีวันมาเพื่ออยากจะเห็น รอยยิ้มที่สะท้อนความสุขสมหวังและความหวังออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
"ขอบคุณสำหรับเกียรติครั้งนี้ครับ" เขาพูด
"เจ้าพร้อมแล้ว" โอบีวันตอบ
"สภาก็คิดอย่างนั้นเหรอครับ?" อนาคินถาม
นั่นเป็นคำถามที่ตรงเอาการ อันที่จริงเหล่าสมาชิกของสภาเจไดเห็นไม่ตรงกันในเรื่องความพร้อมของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ในการที่จะรับสิทธิการเป็นเจไดอย่างสมบูรณ์ มีบางคนที่คิดว่าเขาเข้ามาฝึกในวิถีของเจไดช้าเกินไป มาสเตอร์เหล่านั้นยังกังวลกับความโกรธและความกลัวที่อนาคินผลักไปเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ พวกเขากังวลกับชีวิตในวัยเยาว์ที่เขาอยู่ในฐานะทาส และกับความผูกพันแน่นหนาที่เขามีต่อแม่ที่ปล่อยให้เขามาอยู่ที่นี่
โยดากับมาซ วินดูก็อยู่ในหมู่มาสเตอร์ที่เล็งเห็นอันตรายจากเด็กคนนี้ และเป็นคนที่ทำให้โอบีวันต้องไม่สบายใจอยู่หลายครั้งหลายครา ตัวเขาเองเคารพมุมมองของเจไดมาสเตอร์ทั้งสองมากเกินกว่าที่จะมองข้ามคำตักเตือนเหล่านั้นไปได้ทั้งหมด
แต่คำสัญญาที่ให้ไว้กับไควกอน จินน์อาจารย์ของเขาก็สำคัญกว่าคำตักเตือนเหล่านั้น เพราะถึงไควกอนจะตายไปกว่าสี่ปีแล้วแต่ก็เหมือนว่าเขายังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของโอบีวัน การคงอยู่ของไควกอนชัดเจนเสียจนเขาอยากจะคิดว่าจิตสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาเองกับไควกอนยังแข็งแรงไม่ต่างจากตอนที่ไควกอนยังมีชีวิตอยู่ การรับอนาคินเข้าเป็นศิษย์พาดาวันของเขานั้นไม่เพียงแต่เป็นคำปฏิญาณที่เขาให้ไว้กับอาจารย์ที่เขารัก แต่โอบีวันยังเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องอีกด้วย
สุดท้ายโอบีวันก็ต้องเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง โยดาและมาซ วินดูก็ควรจะต้องเชื่อเช่นเดียวกัน เขาต้องเจรจาอย่างหนักเพียงเพื่อที่จะพาพาดาวันของเขามาที่นี่ และในที่สุดสภาเจไดก็อับจนเหตุผลที่จะมาค้านเขส
เขาหวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในวิหารเจไดเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่อนาคินก็ก้าวหน้าในการฝึกได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เขาทำทุกอย่างได้เกินความคาดหวังของทุกคนในทุกทางที่จะวัดกันได้ เขาเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนทุกชั้นไม่ว่าจะเป็นการฟันดาบไลท์เซเบอร์ การขับยาน ทักษะความจำ และจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดของเจได - การเชื่อมโยงกับพลัง
แต่ก็เพราะความคืบหน้าในการฝึกอย่างรวดเร็วนี้เองที่ทำให้โอบีวันต้องหยุดคิด เขาได้ทักษะเหล่านี้มาง่ายเกินไป มีแนวโน้มอันตรายของความใจร้อนมุทะลุและความถือดีที่ติดมากับความสามารถของศิษย์ของเขาด้วย อนาคินมีแนวโน้มที่จะทำอะไรด้วยตัวเองไปเสียหมด หลายครั้งที่เขาหุนหันพลันแล่นและทำอะไรตามทางของตัวโดยไม่ใส่ใจกับคำแนะนำของผู้อื่นเลย
เหมือนกับที่โอบีวันเองเคยเป็น เหมือนกับที่ไควกอนเองก็เคยเป็น นั่นคือสิ่งที่โอบีวันสรุปได้ทุกครั้ง ตัวเขาเองก็เคยทำความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงในช่วงที่เขาอายุพอ ๆ กับอนาคินเหมือนกัน เขาอยากให้อนาคินมีอิสระเพียงพอที่จะทำแบบเดียวกันได้บ้าง
ทั้งสองดึงเอาอุปกรณ์เครื่องยังชียหน้าหนาวออกมา สวมเสื้อโคทปรับอุณหภูมิทับชุดที่ใส่อยู่และสวมถุงมือทั้งสองข้างก่อนที่จะดึงแว่นตากันลมลงมาปิดตา อุณหภูมิบนไอลัมเย็นยะเยียบอยู่ตลอด พายุหิมะอาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่มีเค้ามาก่อนเลยทุกเมื่อ เหล่าแท่งน้ำแข็งมีขอบที่คมและอันตรายที่สุด
ทั้งคู่เปิดประตูยานก่อนที่จะก้าวอย่างระมัดระวังออกมาสู่พื้นน้ำแข็งภายนอก บนเชิงผามีที่เพียงเล็กน้อยที่อยู่ระหว่างตัวพวกเขากับหน้าผาสูงชันหลายพันเมตร ลมแรงพัดเสียดแทงทุกส่วนของร่างกายที่พ้นออกมาจากสิ่งปกคลุม โดยเฉพาะปลายจมูกและปลายคาง ดวงอาทิตย์เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ อยู่บนท้องฟ้า จุดสีจาง ๆ ที่แทบจะแยกไม่ออกจากสีขาวโพลนของท้องฟ้าและสีหม่นของน้ำแข็งและหิมะ
"ถ้ำคริสตัลอยู่ที่ไหนล่ะครับ?" อนาคินถาม
โอบีวันชี้ "ข้างบนนั่น เราต้องปีนผานี่ขึ้นไป"
อนาคินพิจารณาหน้าผานั่นอย่างละเอียด ดูเหมือนว่ามันจะประกอบด้วยแผ่นน้ำแข็งสีฟ้าขนาดใหญ่ เรียบราวกับกระจก ไม่มีที่วางเท้าหรือมือให้เห็นได้เลย และหากก้าวผิดเพียงนิดเดียวก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องร่วงลงไปในความว่างเปล่าเบื้องล่างแน่ ๆ
"นี่นะที่ท่านว่าเป็นจุดที่ปีนง่ายแล้ว" เขาพูดขึ้น "บอกอะไรข้าสักอย่างได้ไหมครับ ทำไมเจไดถึงต้องเลือกเอาไอลัมคริสตัลมาเก็บไว้ในจุดที่อันตรายขนาดนี้ด้วย? มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าเอาคริวตัลออกจากถ้ำไปเก็บไว้ที่อื่นที่ปลอดภัยกว่านี้น่ะ? ถึงจะเป็นพัน ๆ ปีที่แล้วพวกเขาก็น่าจะมีความคิดอะไรที่ดีกว่านี้บ้างสิน่า"
"คริสตัลจะเติบโตได้แต่ในถ้ำเท่านั้น" โอบีวันตอบในขณะที่เขาเอื้อมไปหยิบปืนยิงสายเคเบิ้ลจากเข็มขัดเครื่องมือ "เราก็เลยต้องไปเก็บมันจากตรงนั้น และความท้าทายนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของรางวัลที่ได้รับด้วยไง"
ลมพัดปอยผมสีทรายที่ระแก้มของอนาคินออกไป ดวงตาของเขาพราวระยับเมื่อคิดถึงการผจญภัยที่รออยู่เบื้องหน้า "ข้าก็ไม่ได้บ่นอะไรสักหน่อย ท่าทางมันน่าสนุกดีออก" เขาหันมายิ้มให้โอบีวันอย่างเจ้าเล่ห์
โอบีวันพยักหน้า มีอะไรบางอย่างในตัวของเด็กชายคนนี้ที่วนเวียนอยู่ภายในจิตใจของเขา เวลาที่ผ่านมา ภารกิจที่ทั้งสองได้ทำร่วมกันทำให้โอบีวันเองได้เห็นความมีน้ำใจที่ไม่ต้องคิดอะไรล่วงหน้า ความซื่อสัตย์จงรักภักดี และความกระหายใคร่รู้ที่มีอยู่ในตัวของเด็กน้อยอย่างเต็มเปี่ยม
จำไว้ พาดาวัน ว่าการจะเข้าถึงสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อย่างถ่องแท้นั้นยากนัก มันมักจะมีมีความลึกลับอยู่เบื้องลึกในใจ ความลึกลับที่แม้แต่คนที่คิดว่ารู้จักตัวเองดีแล้วก็ยังต้องประหลาดใจอยู่เสมอทีเดียว
โอบีวันเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อจะไม่ให้อนาคินเห็นยิ้มแห้ง ๆ ที่พรายขึ้นบนใบหน้า ไควกอนเข้ามาอยู่ในความคิดของเขาบ่อยทีเดียว บางครั้งเขารู้สึกว่าตัวตนของไควกอนที่ยังคงอยู่ในเขาสัมผัสได้นั้นชัดเจนเสียราวกวับว่าเขาไม่ได้ตายจากไปไหนเสียด้วยซ้ำ และเขาก็ดีใจที่มันเป็นเช่นนั้น ความคิดถึงที่เขามีต่อผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์คนนั้นยังคงแรงกล้าไม่ได้เลือนหายไปตามจำนวนปีที่ผ่านไปเลย
เขายิงสายเคเบิ้ลออกไป และเมื่อปลายฉมวกปักแน่นในน้ำแข็งเบื้องบนแล้วเขาก็ลองดึงทดสอบความมั่นคงอีกครั้ง
"อย่าลืมตัวแปรเรื่องลมด้วย" เขาบอกอนาคิน "มีช่องลมบนเขาที่จะทำให้ลมกรรโชกเข้ามาได้จากทุกทิศทาง ปล่อยตัวตามสบายไว้แต่ก็ต้องควบคุมการทรงตัวไว้ตลอดเวลา หน้าตัดน้ำแข็งไม่ได้เรียบอย่างที่เห็นหรอกนะ มีแง่งแก่งที่ยื่นออกมายาวพอที่จะบาดได้เยอะเหมือนกัน"
อนาคินพยักหน้า แสงระยิบระยับในดวงตาคู่นั้นหายไปแล้ว ตอนนี้ตาของเขาดูมัว ๆ และไร้ความรู้สึก โอบีวันรู้ว่ามันหมายความว่าอะไร อนาคินมีความสามารถที่จะทำให้ช่วงเวลาหยุดนิ่งสำหรับตัวเขาเองได้ เขาก้าวเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่โอบีวันเองก็ไปไม่ถึง โอบีวันรู้ว่าเขากำลังรวบรวมความตั้งใจและพลังในการที่จะปีนหน้าผาเบื้องหน้า
อนาคินยิงสายเคเบิ้ลของตัวเองออกไปบ้าง เขาทดสอบความมั่นคงของมันเช่นกัน และเมื่อโอบีวันให้สัญญาณพยักหน้า ทั้งคู่ก็กดปุ่มกว้านสายและปล่อยตัวให้ถูกสาวขึ้นไปเบื้องบนด้วยความเร็วที่แทบจะทำให้ตาลาย โอบีวันต้องใช้ลิ่มกระเทาะน้ำแข็งเพื่อให้มีที่วางเท้า เขาเหลียวไปมองเพื่อให้แน่ใจว่าอนาคินก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่
ทันใดนั้นสายลมก็เปลี่ยนทิศและกรรโชกเข้ามาปะทะตัวเขาอย่างเต็มแรง ทำให้ร่างของเขาแกว่งเขาไปหาหน้าผาน้ำแข็งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โอบีวันหมุนตัวเอาไหล่บังน้ำแข็งไม่ให้ร่วงลงมาบาดใบหน้า
เขาสอดเท้าเข้าไปในช่องที่เจาะไว้และดึงตัวเองขึ้นอีกไปอีกเล็กน้อยพลางเจาะช่องให้มือเกาะอีกช่องหนึ่ง นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องอาศัยการทรงตัวสมดุลอย่างเยี่ยมยอด ในที่สุดเขาก็ปลดสายเคเบิ้ลอย่างระมัดระวังก่อนที่จะเล็งจุดยึดจุดต่อไป ทันใดนั้นลมแรงก็หวนมาอีกครั้งจากอีกด้านหนึ่ง ดันให้ตัวเขาเข้าไปติดกับผืนน้ำแข็ง เขาพยายามเกาะหน้าผานั้นให้แนบสนิทเท่าที่จะทำได้ เกร็งนิ้วที่เจาะเข้าไปในน้ำแข็งให้แน่นและลึกที่สุด เขารู้สึกราวกับว่ามีมือยักษ์กำลังพยายามจะปัดให้ตัวเขาหล่นลงไปจากพื้นผิวของภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้อย่างไรอย่างนั้น
ในทันทีที่สายลมเริ่มสงบลง เขาก็ยิงสายเคเบิ้ลออกไปอีกครั้ง ไต่ตามสายเคเบิ้ลอีกเพียงสองหนทั้งสองก็จะไปอยู่บนแนวผาแคบ ๆ ที่เป็นทางเข้าสู่ถ้ำคริสตัล
อนาคินปล่อยให้ตัวเองถูกดึงลอยสูงขึ้นไปในอากาศแล้ว เขาจัดแจงเจาะรูด้วยเครื่องมือแหลมในมืออย่างรวดเร็วในการที่จะขุดหน้าผาน้ำแข็งทำที่วางเท้า โอบีวันมองเห็นว่าถึงอนาคินจะไต่ขึ้นไปได้เร็วแค่ไหนแต่เขาก็ต้องพยายามอย่างหนักที่จะประคองตัวไม่ให้ถูกลมซัดเข้าไปปะทะกับหน้าผาเช่นกัน
โอบีวันกลับขึ้นมาเป็นคนนำเพื่อจะให้อนาคินไต่ให้ช้าลง เขาหยุดเป็นระยะ รอให้สายลมที่กรรโชกแรงผ่านไปก่อน ไม่นานโอบีวันก็ไปถึงจุดสุดท้ายก่อนที่จะถึงเชิงผาเบื้องบน เขามองไปทางอนาคิน และเด็กชายก็พยักหน้า แล้วทั้งคู่ก็สาวตัวเองขึ้นไปยังจุดปลอดภัยที่เชิงผาหน้าถ้ำพร้อม ๆ กัน
แต่จุดปลอดภัยนั้นไม่ได้ปลอดภัยเลย โอบีวันชะงักอยู่ที่ชะง่อนผานั้นเอง ภาพที่ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะเห็นเกือบทำให้เขาก้าวถอยหลังกลับลงไปเบื้องล่าง ภาพของกอร์กอดอนฝูงหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าเขา หลับขวางอยู่ปากทางเข้าถ้ำคริสตัลพอดิบพอดี พวกมันเป็นสัตว์ใหญ่งุ่มง่ามที่อยู่ตามธรรมชาติของดาวไอลัม ปกติแล้วเขตหากินของพวกมันจะอยู่บนที่ราบปกคลุมด้วยหิมะเบื้องล่าง ที่ที่พวกมันจะหาไลเคนหรือต้นไม้เตี้ย ๆ เป็นอาหารได้ โอบีวันรู้ว่าพวกมันป่ายปีนทั้งต้นไม้และหน้าผาได้ดี แต่เขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าพวกมันปีนขึ้นมาสูงขนาดนี้ได้ด้วย
นอกจากนั้นเขายังรู้มาอีกว่าพวกมันเป็นนักล่าที่ดุร้ายทีเดียว "อยู่นิ่ง ๆ" เขากระซิบบอกอนาคิน ถ้าโชคยังเข้าข้างพวกเขาอยู่บ้าง สัตว์พวกนั้นก็อาจจะไม่ทันเห็นเขา สายตาของพวกมันไม่ดีเท่าใดนัก แต่ประสาทหูกับจมูกเป็นเยี่ยมเลยทีเดียว
"ตัวอะไรน่ะครับ?" อนาคินกระซิบถาม
"กอร์กอดอน" โอบีวันพึมพำ "ฟันสามแถว กรงเล็บคมมาก พวกมันฆ่าเหยื่อโดยการรัดจนเหยื่อตาย ทางเดียวที่จะฆ่าไอ้ตัวพวกนี้ได้คือฟันก้านคอมันเท่านั้น"
อนาคินมองมันอย่างพินิจพิจารณา "มีอะไรอย่างอื่นอีกไหมครับ?" เขากระซิบผ่านกระแสลมที่พัดขึ้นมาบนชะง่อนผา
ลมนั่นคงจะพัดเอากลิ่นของเขาทั้งสองไปด้วย เพราะเจ้าสัตว์ยักษ์ตัวหนึ่งเริ่มขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว "มี" โอบีวันบอก "คอยระวัง --"
ทันใดนั้นหางแบบหางสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ก็กวาดมาจากกอร์กอดอนที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุด ปะทะเขากับอนาคินและส่งให้ร่างของเขาปลิวไปทางหน้าผาที่พวกเขาเพิ่งไต่ขึ้นมา
"หาง!" โอบีวันตะโกนพลางโผตามไป